ทำไมผู้บริหารที่ออกมาเป็นเถ้าแก่ถึงทำธุรกิจตัวเองไม่รอด

เริ่มต้นธุรกิจ

เราเคยได้ยินกันเสมอครับว่าผู้บริหาร ฝีมือเก่งๆ หลายคนอยู่ในบริษัทแล้วเป็นเดอร์สตาร์ แต่พอออกมาทำธุรกิจเป็นเถ้าแก่เอง เจ๊งไม่เป็นท่า สุดท้ายหลายคนก็ต้องกลับไปเป็นเดอะสตาร์เหมือนเดิม บางคนดื้อดึง ดันทุรังต่อไปจนทำให้ชีวิตตัวเองและครอบครัวลำบากเดือดร้อนก็มี สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ชีวิตไม่ได้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ เรามาวิเคราะห์กันว่าทำไมพวกเขา (หรือเรา) เหล่านั้นถึงล้มเหลว

เคยแต่สั่ง ไม่เคยทำเอง

ผู้บริหารหลายคนเป็นคนที่มองภาพรวมเก่งมาก มีวิสัยทัศน์ในการพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จ ด้วยโมเดลต่างๆ แต่ถึงกระนั้นผู้บริหารก็ขึ้นชื่อว่าบริหารครับ ไม่เคยลงมือทำ ถึงจะมองภาพรวมได้ดีแต่ก็ขาดการใส่ใจในรายละเอียด พอมาทำธุรกิจเอง ไม่รู้จะเริ่มยังไง ต้องโทรหาลูกค้ายังไง ต้องจัดเก็บเอกสารยังไง หรือแม้แต่เขียนบิล VAT ภาษีหัก ณ ที่จ่ายก็ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ หลายคนรับไม่ได้ที่ตัวเองต้องมาทำแบบนี้ ก็เลยต้องเลิกรากันไป

ใช้ข้อมูลเยอะเกินไป ทำให้ตัดสินใจช้า ทุกอย่างต้องเป๊ะก่อนปฏิบัติจริง

ผมเคยทำงานในบริษัท FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ในการทำกิจกรรมการตลาดสักครั้ง ออกสินค้าใหม่สักตัว ต้องบอกล่วงหน้า 3 เดือน ผู้บริหารต้องการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจครับ การตัดสินใจทุกครั้งต้องมีข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น Market Share, Growth, Shelf Share etc. จะทำโปรโมชั่นทีนึงก็ต้อง Forecast ว่าจะได้ Share ขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ คุ้มกันมั้ยกับการลงทุน ในทางตรงกันข้าม ระหว่างรอวิเคราะห์ตัวเลขเสร็จ เถ้าแก่มืออาชีพเค้าสั่งของ ขายของ ดีลกับลูกค้า ส่งของ เก็บเงินเสร็จสรรพแล้วครับ ถ้าคุณเป็นเถ้าแก่ SME เริ่มต้นขายสินค้า Handmade ส่งออก คุณจะสนใจเป็นพิเศษมั้ยครับว่า Market Share ของคุณเป็นกี่เปอร์เซนต์ในตลาดโลก ปีหน้าคุณจะได้กี่เปอร์เซนต์ ถ้าคุณสนใจละก็เตรียมตัวเจ๊งเลยครับ เพราะนั่นไกลตัวคุณมาก

ธุรกิจที่เคยบริหาร กับธุรกิจตัวเองคนละสเกลกัน

ขึ้นชื่อว่าบริษัทใหญ่ก็ต้องมีพนักงานที่เก่งๆ การศึกษาดีๆ อยากเข้ามาทำงาน อะไรๆ มันก็ครบ อยากเพิ่มยอดขาย เรียกผู้จัดการฝ่ายขายมาคุย อยากรู้งบกำไรขาดทุน เรียกฝ่ายบัญชีมา อยากทำโฆษณาเชิญการตลาดมา ส่วนบริษัทเราเอง จะหาจากไหนครับ มหาวิทยาลัยชั้นนำไม่มาแน่นอน ไม่แม้แต่จะมอง จะเลือกระดับรองลงมา ราคาถูกหน่อย แต่คุณภาพก็ลดลงตามเกรด ต้องมานั่งสอนใหม่ สอนแล้วสอนอีก บางคนสอนสิบรอบผิดสิบรอบ จะไล่ออกก็สงสาร จะเทรนใหม่ก็เหนื่อย สุดท้ายเลยต้องทำเอง รับไม่ไหวครับ

มีต้นทุนทางสังคมสูง เจ๊งไม่ได้

ผู้บริหารทุกคนมีอีโก้ครับ อีโก้ที่ว่าคือต้นทุนทางสังคมที่สูงมาก เพราะการที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วในวงการบริหาร หนทางกำลังไปได้สวย แต่กลับมาเปลี่ยนใจ ไม่เดินทางเดิม ไปทำธุรกิจเอง เพราะคิดว่าตัวเองทำได้ดีกว่า หัวหน้าเจ้านายหรือเจ้าของ แต่พอออกมาทำจริงปรากฏว่าเรื่องไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่จะทำยังไงได้ครับ คนเราฆ่าได้หยามไม่ได้ เมื่อถึงเวลาจริงไม่ยอมรับหรอกครับว่าธุรกิจเจ๊ง หาเงินมาใส่เพิ่ม ลงโฆษณาเพิ่ม โดยที่ไมได้เพิ่มยอดขายแต่เป็นการรักษาหน้าเท่านั้น

เน้นภาพลักษณ์มากกว่าตัวเงินจริงๆ

ผมเชื่อว่าคนเป็นผู้บริหารต้องวางแผนก่อนทำธุรกิจแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ ผมไม่รู้ว่าในแผนนั้นมีอะไรบ้างแต่เท่าที่เคยเห็น ผู้บริหารที่เป็นเถ้าแก่มักจะไม่ยอมให้ตัวเองลำบากกว่าเดิมแน่นอน ถ้าจะมีออฟฟิศก็ต้องให้สวยงามสะอาดตา อุปกรณ์ชั้นดี รถประจำตำแหน่งมียี่ห้อ ให้มันสมกับฐานะ หรือบางคนเน้นทำสินค้าให้ดีที่สุดในโลก เอาให้ได้โล่ห์ทุกสำนัก แต่ทราบมั้ยครับ เถ้าแก่ที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนใหญ่น่ะ เรื่องพวกนี้มาสุดท้ายเลยครับ พวกเขาเริ่มจากทำยังไงก็ได้ให้มีเงินพออยู่รอด ขายของได้ รถประจำตำแหน่งนี่เป็นเรื่องสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ เรื่องรางวัลบางทียังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

ถ้าให้เปรียบเทียบ ผู้บริหารในบริษัทก็เหมือนรถ Ferrari เหมาะกับวิ่งในเมือง ขับไปไหนก็มีแต่คนมอง คนชับก็ได้รับการยอมรับนับถือ มีหน้ามีตาในสังคม (สังเกตว่าผู้บริหารยุคใหม่ก็ชอบแต่งตัวโก้หรู ดูดีเหมือนเฟอรารี่ด้วย) ในขณะที่เถ้าแก่เปรียบเหมือนรถ 4 Wheel เหมาะกับการลุยป่า อยู่ป่า ไม่เหมาะกับในเมือง มีอะไรเดินหน้าอย่างเดียว ไม่ต้องแคร์ภาพลักษณ์ ยิ่งเจ็บยิ่งเจ๊งมาเยอะ ยิ่งเท่ เพราะประสบการณ์เยอะ (รถ 4 Wheel เท่ๆ เจ้าของจะไม่ยอมล้างเด็ดขาด ไม่งั้นคนอื่นไม่รู้ว่าไปลุยป่ามา) ที่เล่ามาทั้งหมดไม่ได้บอกว่าผู้บริหารไม่ดีหรือเก่งน้อยกว่าเถ้าแก่นะครับ ถ้าเป็นฟุตบอลมันคนละ League กัน ต่างคนต่างมีแนวทางของตัวเอง เพียงแต่ห้ามเปลี่ยนไปมาระหว่าง Ferrari กับ 4 Wheel นะครับ ไม่งั้นจะไม่รอดสักทาง

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: Content is protected !!